คอลัมน์ คิดใหม่ดอตคอม นิตยสารบางกอก
วันอังคารที่ 3 มีนาคม 2557
แต่ปฏิรูปที่ผมจะชวนคุยวันนี้แม้ชื่ออาจฟังดูไม่ใหญ่เท่าแต่ความสำคัญนั้นใหญ่ยิ่ง อาจยิ่งกว่าปฏิรูปทั้งสองนั้นก็ได้ เพราะหากส่วนนี้ยังไม่ปรับ ยังไม่ปฏิรูปจะไปหวังเคลื่อนส่วนอื่นคงยากหรือเป็นไปไม่ได้ นั่นคือ “ปฏิรูปการศึกษา” บางท่านอาจสงสัยว่าก็เห็นเด็กเรียนจบกันสูงขึ้น ไปแข่งขันอะไรก็ได้รางวัลมาทุกบ่อย ทำไมถึงบอกว่าต้องปฏิรูป คำตอบนั้นคงไม่มีตัวชี้วัดใดดีไปกว่าดูที่ผลที่คาดหวังจากการศึกษา ซึ่งไม่ใช่เรื่องผลการสอบ หรือรางวัลดั่งที่ยกมา แต่เป็นความร่มเย็นเป็นสุขของครอบครัวและสังคมต่างหาก ครอบครัวทุกวันนี้เป็นอย่างไรรักใคร่ปรองดองกลมเกลียวกันดีไหม หรือมีปัญหาหย่าร้างกันมากขึ้น มีความรุนแรงในครอบครัวสูงขึ้น มีปัญหาท้องก่อนแต่งมากขึ้น หรือในระดับสังคมก็ลองดูว่าสังคมเป็นอย่างไร คนในชาติสมัครสมานสามัคคีกันดีไหม หรือมีแต่ปัญหาอาชญากรรมกันทุกพื้นที่ การทุจริตคอร์รัปชั่นเต็มบ้านเต็มเมือง การขัดแย้งทางความเชื่อ ความคิดรุนแรงจนบานปลาย ตอบกันได้นะครับ และปฏิเสธไม่ได้ว่าผลเป็นเช่นนี้ก็เพราะเหตุ ซึ่งเหตุนั้นรากเหง้าของมันก็มาจากคน หรือวิธีคิดของคน วิถีการใช้ชีวิตของคน แรงจูงใจของคน ซึ่งทั้งหมดนั้นก็มาจากฐานการศึกษาที่ส่งให้คนเติบใหญ่ มีความรู้ ความคิด ความเชื่อ และมีแรงจูงใจตามนั้น ด้วยผลลัพธ์ที่เลวร้ายอย่างชัดแจ้งนี้เองที่ทำให้ถึงเวลาแล้วที่จะต้องปฏิรูปการศึกษาจริง ๆ เสียที และการปฏิรูปนั้นต้องแรงและใหญ่จริง ๆ ด้วย ไม่ใช่เพียงปรับเปลี่ยนกลไก เครื่องมือ หรือวิธีการทำงาน จัดสรรงบประมาณเพิ่ม หรือเติมเทคโนโลยีแต่อย่างใด แต่ต้องเป็นการปรับเปลี่ยนแบบถอนราก ถอนโคน รื้อกันไปถึงต้นตอของการศึกษากันเลย ว่าที่เราให้ลูกหลานเราร่ำเรียนนั้นเพื่อให้ได้วิชาความรู้ไปหากิน ได้ปริญญาบัตรไปปรับตำแหน่งให้เงินเดือนสูง ๆ หรือเราให้ลูกหลานเราเรียนเพื่อจะได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข จะปฏิรูปต้องตอบคำถามแก่นนี้ให้ได้ก่อน
ภาษานักนิติศาสตร์เขาเรียกนิติปรัชญา คือแก่นของการที่จะออกกฎหมายฉบับใดมาเป็นเครื่องมือ ในการให้ข้าราชการและภาคเอกชนได้ใช้งาน พรบ.การศึกษาตลอดชีวิตหากไม่ชัดเรื่องเป้าหมาย และไม่หยั่งลึกให้ถึงแก่นทำไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนักหรอกครับ อย่างดีก็แค่ทำให้คนของเรากลายเป็นที่หนึ่งใน AEC หรือแม้แต่ที่หนึ่งในโลก แต่ไม่อาจตอบโจทย์เรื่องความสุข สงบ อบอุ่น เรียกร้อยในสังคมได้ครับ
สิ่งที่ท่านกล่าวมาทั้งหมด คงต้องเรียกว่าการมีปัญญา หากจะกล่าวถึงการปฎิรูปการศึกษาให้สั้นต้องชัดเจนว่าจะสร้างความรู้หรือสร้างปัญญาให้คนในชาติ ปัญหาคือผู้นำปฏิรูปแยกแยะความหมายของสองคำนี้ได้แค่ไหน...ซึงคาดว่าคงหมดหวัง เอวัง.....
© 2016 - Kid-Mai All Rights