ขึ้นคาน
by : Admin
   
2017-11-17
   
Intania
   
0 comments
นิตยสาร Intania 5/60
คำนี้เป็นการรวมกันของศัพท์พื้นฐาน 2 คำคือคำว่า "ขึ้น" ที่ตรงข้ามกับลงกับคำว่า "คาน" ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของอาคาร เป็น 2 คำที่แสนจะธรรมดาได้ยินกี่ครั้งก็ไม่มีความรู้สึกดีร้ายใด ๆ แต่พอนำมาต่อกันแล้วไปพูดต่อหน้าสุภาพสตรีจะถือว่าเป็นการเสียมารยาทอย่างมาก ถึงขนาดกลายเป็นคำหยาบไป
ก็เพราะความหมายที่แท้ของคำมิได้มุ่งไปที่อาการของร่างกายที่ขึ้นไปอยู่บนคานบ้าน คานเรือน แต่เป็นการหมายถึงความไร้คู่ ไม่ได้แต่งงาน ซึ่งสภาวะเช่นนั้นสำหรับผู้หญิงแล้วยังอาจหมายเลยไปถึงว่าตนไม่มีค่าพอ เลยไม่มีผู้ชายมาสู่ขอ ที่ในบางสังคมเป็นเรื่องน่าอับอายไปถึงผู้ปกครองกันเลยทีเดียว
แต่นั่นเป็นอดีตครับ ปัจจุบันกลับกันคือนอกจากไม่ใช่เรื่องน่าอายแล้วยังกลายเป็นกระแสที่คนนิยมอยู่เป็นโสดกันมากขึ้น คนที่อยู่ได้เพียงลำพังไม่ได้ถูกมองว่าเป็นคนไม่มีค่าพอที่จะทำให้คนอื่นสนใจ แต่ถูกมองว่าเป็นคนที่มีความมั่นใจ มีความแกร่ง และมีความสตรองอันน่าชื่นชม
กระแสนี้มีมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่ที่โตมาพร้อมกับความจางคลายแห่งสายสัมพันธ์ฉันท์คู่ผัวตัวเมียก็ยิ่งทำให้ง่ายที่จะไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องมีคู่
แต่นั่นอาจเป็นเป็นความคิดที่ฉาบฉวยไปนิดครับ เรื่องสำคัญอันเป็นอนาคตทั้งชีวิตที่เหลือเช่นนี้ควรที่จะรอบคอบให้มากเพราะการด่วนตัดสินใจอาจหมายถึงการไม่มีโอกาสให้แก้ตัวอีก
"ถ้าเช่นนั้นมีเกณฑ์อะไรไหมที่จะใช้บ่งบอกว่าเราควรมีคู่หรืออยู่โดดเป็นโสดดีกว่า"
เกณฑ์นั้นมีครับ เราสามารถใช้คุณสมบัติของคนที่เราอยู่แล้วจะเข้ากันได้มาจับว่าถ้าเจอคนที่มีคุณสมบัติตามนี้ก็น่าจะใช้ชีวิตร่วมด้วย แต่ถ้าไม่มีคนที่มีคุณสมบัติดั่งกล่าวเช่นนั้นสู้อยู่คนเดียวจะดีกว่า ซึ่งคุณสมบัติที่ว่ามี 4 ข้อดังต่อไปนี้ครับ
1. มีแนวคิดไปในทางเดียวกัน หรือมีศรัทธาเสมอกัน ข้อนี้สำคัญเพราะเป็นเหมือนเครื่องกรองแรกที่จะทำให้เห็นภาพว่าอนาคตอีกหลายสิบปีข้างหน้าจะไปด้วยกันได้ไหม เพราะหากคู่มีความสนใจแตกต่างกันมากโอกาสที่จะทะเลาะเบาะแว้งกันก็สูง หรือแม้จะฝืน ๆ กันไปได้ก็ไม่ได้มีความสุขตามที่หวัง
2. ไม่มีความคิดที่จะเบียดเบียนคนอื่น หรือมีศีลที่เสมอกัน ข้อนี้เป็นการมองลึกลงไปอีกขั้นเพราะคู่ที่คนหนึ่งเอาแต่คิดจะได้ คิดจะเอายอมเบียดเบียนคนอื่นเพื่อความต้องการของตนได้ ขณะที่อีกคนขี้เกรงใจไม่อยากให้ใครเดือดร้อนจากการกระทำของตัว คู่แบบนี้ต่อให้สนใจเรื่องเดียวกันแต่ก็ไปต่อกันยาก
3. มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ หรือมีจาคะเสมอกัน ข้อนี้ลงลึกต่อไปอีกระดับคือเมื่อไม่เบียดเบียนคนอื่นแล้วคู่นั้นมีใจคิดจะแบ่งปันให้คนอื่นมากน้อยเพียงใด เช่นกันคือหากต่างกันก็อาจทำให้สุดท้ายแล้วชีวิตคู่อาจไม่แนบสนิทดีนัก มีเคืองกันให้หงุดหงิดได้อยู่เป็นระยะ ๆ
4. มีปัญญาความรู้เสมอกัน ข้อสุดท้ายนี้ลึกที่สุด คือแม้จะชอบสิ่งเดียวกัน เกรงใจคนอื่นไม่คิดเบียดเบียนใครเหมือนกัน มีใจแบ่งปันคิดช่วยเหลือคนอื่นเท่า ๆ กัน แต่สุดท้ายหากปัญญาต่างกันแม้อาจไม่ถึงขั้นทำให้ร้าวฉานแต่ก็ไม่กลมกลืนราบลื่นดั่งที่ควร
นี่ล่ะครับเกณฑ์การเลือกคู่ในแบบพุทธ จะเห็นได้ว่าไม่มีเรื่องทางเพศเข้ามาเกี่ยวข้องเลย มีแต่เรื่องทางใจ ทางความเชื่อ ความคิด อันเป็นคุณสมบัติที่ทำให้การอยู่เป็นคู่มีความสุขกันอย่างยั่งยืนมาให้พิจารณาเท่านั้น
คู่ใครที่ช่วยกันทำงาน ชักชวนกันทำความดี ไม่นอกใจ ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน พากันเดินทางไปสู่ฝั่งฝันก็เรียกว่า "คู่บุญ" คือมาเจอกันด้วยบุญเพื่อจะต่อบุญกันอย่างมีความสุข อยู่ดูแลกันไปจนวันสุดท้ายจนถึงวันที่หมดบุญต่อกัน ใครที่ได้เจอคู่บุญต้องถือว่าโชคดีและก็น่าจะใช้ชีวิตคู่กันอยู่ล่ะครับ
แต่ถ้าไม่เป็นไปตามเกณฑ์นี้ ไม่ได้เจอคู่บุญ แต่ไปเจอ "คู่เวร คู่กรรม" เช่นนี้ต้องรีบหนีให้ไกลเพราะหากอยู่ด้วยก็รังแต่จะทำให้ชีวิตตกต่ำ เพราะเป็นคู่ที่มาเจอกันด้วยกรรม ทำกรรมร่วมกันมา มาอยู่กันแบบจองล้าง จองผลาญ อยู่กันก็มีแต่ทะเลาะเบาะแว้ง ตบตีกัน มุ่งทำลายกันให้ย่อยยับ ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างชอบคนละเรื่อง ไม่ช่วยกันทำงานชักชวนกันให้ตกต่ำ มาผูกพันธ์กันด้วยเรื่องของเพศและก็คอยจะนอกใจกัน เจ็บป่วยก็ไม่ดูแลกัน ต้องทนกันไปจนตายจนหมดเวรต่อกันใครเจอคู่แบบนี้ก็อยู่คนเดียวดีกว่าครับ
ลองใช้หลักนี้มาจับกันดูนะครับว่าคนที่เราหมายอยู่นั้นน่าจะเป็นคู่อะไรกันแน่ แต่สุดท้ายถ้าตัดสินใจจะอยู่คนเดียวจริง ๆ ก็ยังมีเรื่องที่ต้องคำนึงเป็นพิเศษอีกเรื่อง นั่นคือเรื่องของการตระหนักรู้คุณค่าในตนเอง เพราะหน้าที่ระหว่างสามีกับภรรยานั้นไม่ใช่แค่เรื่องของการช่วยเหลือด้านการดำรงชีวิตเท่านั้น คู่ชีวิตยังมีหน้าที่สำคัญคือการให้กำลังใจ และส่งเสริมศักยภาพของคู่ของตนให้เปล่งประกายออกมา เป็นผู้ที่สามารถทำให้อีกคนรับรู้คุณค่าของตนเองได้ ดังนั้นหากคิดจะใช้ชีวิตอยู่คนเดียวแล้วสำคัญยิ่งคือต้องเตรียมความพร้อมทางด้านการตระหนักรู้คุณค่าในตนเองนี้ให้ตัวเองด้วย โดยการออกไปทำกิจกรรมงานด้านจิตอาสา ช่วยเหลือผู้อื่นทำตนให้เป็นประโยชน์จนตนรับรู้ได้ถึงประโยชน์ตนนั้น ซึ่งประโยชน์นี้รวมไปถึงประโยชน์ตนอย่างการมุ่งปฏิบัติธรรมด้วยศรัทธาอันถูกต้องด้วย เพราะการปฏิบัติธรรมนั้นแม้ภายนอกดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยเหลือคนอื่น แต่ในความเป็นจริงนั่นกลับเป็นการช่วยอย่างไม่มีประมาณจากธรรมชาติภายในที่ถึงกันหมดทั้งมนุษย์ ทั้งสัตว์และทั้งธรรมชาติ ที่เมื่อผู้ปฏิบัติดีก็จะทำให้สิ่งแวดล้อมข้าง ๆ ดีตามไปด้วย เปรียบดั่งน้ำเน่าในอ่างที่หากมีการเติมน้ำสะอาดจำนวนหนึ่งเข้าไปในจุดใดจุดหนึ่งความสะอาดของน้ำแม้เพียงหยดเดียวนั้นก็เท่ากับช่วยยกระดับความสะอาดของน้ำทั้งอ่างนั้นด้วย
ฉบับนี้ดึงเรื่องที่อาจเกินวัยของนายช่างรุ่นเก๋าไปสักนิด แต่ตั้งใจนำมาฝากให้วิศวกรหญิงรุ่นลูก รุ่นหลานที่อาจกำลังจะตามกระแสนี้ ว่าถ้าจะอยู่คนเดียวก็ต้องเตรียมการทำงานอาสา หรือการปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นการทำให้ในทุก ๆ เช้าที่ตื่นขึ้นมา มีความสุขจากการมีอยู่แห่งชีวิตตน ได้เห็นคุณค่าในตัวเอง เป็นการเติมเต็มชีวิตอย่างแท้จริงเพราะความรู้สึกถึงคุณค่าในตนนั่นแหละคือปัจจัยสำคัญในการหล่อเลี้ยงชีวิตให้ยืนยาวอย่างมีความสุขได้อย่างแท้จริง
ถ้าอยู่อย่างนี้ได้ถึงจะเป็นการอยู่อย่าง โสด สตรองของจริงครับ
แสดงความคิดเห็น