นาฬิกาปลุก

        อายุเฉลี่ยของคนไทยสมัยนี้คือ 71 ปีที่หากแยกให้ละเอียดตามเพศก็จะได้เป็นผู้หญิงที่มีอายุยืนกว่าผู้ชาย คือผู้หญิงจะมีอายุเฉลี่ยที่ 75 ปีในขณะที่ผู้ชายจะอยู่ที่ 68 ปีส่วนสาเหตุนั้นก็อาจด้วยทั้งเรื่องของกายภาพที่ต่างกัน และด้วยเพราะวิถี นิสัย ความเสี่ยงที่ต่างกันแต่ไม่ว่าจะ 68 ปีหรือ 75 ปีก็ไม่ถือว่าเป็นเวลาที่สั้นนัก เป็นเวลาที่มนุษย์สามารถทำอะไรต่าง ๆ ได้มากมาย เป็นเวลาที่มนุษย์หนึ่งคนสามารถสร้างตัวจากสื่อผืนหมอนใบไปสู่ธุรกิจแสนล้านระดับโลกได้         หรือมนุษย์หนึ่งคนสามารถไต่เต้าจากชาวบ้านธรรมดาไปสู่นักการเมืองที่ทรงอิทธิพลของโลกได้ นั่นวัดกันตามผลที่เป็นรูปธรรม แต่แม้จะวัดชั่วเวลานั้นจาก “ความรู้สึก” ก็ต้องเรียกได้ว่าเป็นเวลาที่ยาวนานไม่น้อยเช่นกัน เวลานั้นมนุษย์สามารถผ่านอารมณ์สารพัดมานับไม่ถ้วน ผ่านสถานการณ์พลิกผันอันหลากหลาย ผ่านเหตุการณ์ดีเลวร้ายชื่นมื่นอย่างมากมาย มากจนทำให้คนสมัยนี้รู้สึกว่าอยู่หากใครอยู่กันถึง 100 ปีนี่จะต้องเป็นผู้ที่ผ่านอารมณ์มาอย่างครบถ้วนทีเดียว         แต่หากใครได้อ่านตำราก็อาจตกใจก็ได้ที่ได้รู้ว่าเวลาชั่ว 100 ปีนี้ถือว่าน้อยนัก เป็นชั่วอายุที่สั้นนิดเดียวโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับตำราที่บอกว่ามนุษย์บางยุคนั้นจะมีอายุกันถึงหลายหมื่นปี!         ไม่ผิดครับหลายหมื่นปีจริง ๆ หรือจะเอาแบบเปะ ๆ ที่ระบุในตำราก็คือในยุคของพระศรีอาร์ยที่มนุษย์จะมีอายุถึงแปดหมื่นปีกันเลย นั่นคือเรื่องในอนาคตแต่กับเรื่องในอดีตใกล้มาปัจจุบันและต่อถึงอนาคตใกล้นั้น อายุของมนุษย์อยู่ในช่วงขาลง ตราบเท่าที่มนุษย์ยังปล่อยให้กิเลส ความโลภ ความโกรธครอบงำจิตใจและการกระทำนั้นอยู่ ตราบนั้นอายุก็จะยิ่งสั้นลงไปเรื่อย ๆ ยังจะลดลงอีกเรื่อย ๆ ไปจนกระทั่งว่ากันว่าลงเหลือเพียง “สิบปี” “ถ้าเหลือสิบปีมนุษย์ก็สูญพันธ์ซิ เพราะยังไม่ทันมีลูกก็ตายแล้ว” บางท่านอาจสงสัย         ไม่สูญหรอกครับ เพราะแม้อายุขัยจะเป็นหมื่น จะเป็นร้อยหรือจะเป็นสิบก็ตาม ช่วงเวลาหรือวัยในระยะต่างๆ ของมนุษย์ก็จะปรับสัดส่วนตามไปด้วย อย่างตอนนี้หากถืออายุที่ร้อยช่วงยี่สิบปีแรกก็คือวัยเด็ก 20-40 ก็วัยกลางคนเริ่มมีลูก จากนั้นก็วัยชราเริ่มนับวันถอยหลังกัน ซึ่งพออายุลดลงเหลือเป็นสิบปีนั้นตำราท่านก็ว่ามนุษย์จะมีลูกกันตั้งแต่ 5 ขวบนั่นแล้ว เช่นเดียวกับช่วงที่อายุเป็นหมื่น ๆ ปีระยะวัยต่าง ๆ ก็ปรับกันไป อ่านแล้วอย่านึกว่าเป็นไปไม่ได้นะครับ ที่จริงสมัยนี้ก็เริ่มเห็นแล้วว่าเด็กรุ่นใหม่โตกันเร็วแค่ไหน ไม่ถึงสิบขวบนี่หลายคนเริ่มโตเป็นสาวแล้ว เริ่มแก่แดด แก่ลมกันมาก ส่วนเด็กผู้ชายก็เริ่มคะนอง เริ่มทำหลายสิ่งที่แต่ก่อนเราไม่นึกว่าเด็ก ๆ จะทำกันไม่เชื่อลองนึกเทียบกับสมัยเราเป็นเด็กซิครับว่าจริงไหมที่เด็กเริ่มโตเร็วขึ้นเรื่อยๆ         พูดเรื่องเด็กแล้วเครียดมาคุยอีกด้านคือด้านแก่กันดีกว่าโดยเฉพาะกับสัญลักษณ์ของความแก่ จะหมื่น หรือร้อยมนุษย์เราก็มีเครื่องวัดการเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่วัยชราตัวเดียวกันครับ นั่นคือ “ผมหงอก” คือประมาณครึ่งชีวิต ช่วงนี้อายุมนุษย์ 100 ปีประมาณ 40-50 ผมหงอกก็เริ่มขึ้นให้เห็นเป็นสัญญาณเตือนว่าได้ใช้ชีวิตกันมาครึ่งค่อนทางแล้วนะ และด้วยการหงอกของผมซึ่งแสดงถึงความแก่อาจเลยไปถึงความตาย เป็นสัญลักษณ์อันไม่พึงปรารถนาของเกือบทุกคนนี่เองที่ทำให้สินค้าที่เกี่ยวกับการทำให้ผมหงอกกลับมาดำดั่งเดิมนั้นเป็นที่ขายดิบ ขายดี ก็เพราะไม่มีใครอยากแก่นี่ครับ         ผมหงอกนี่เลยกลายเป็นเหมือนสิ่งเลวร้าย         เป็นของไม่พึงประสงค์ของคนจำนวนมาก ทั้งที่จริงแล้ว ผมหงอกนี่ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่สุดนิมิตหนึ่งของมนุษย์นะครับ มันเป็นเครื่องหมายของการเริ่มต้นมอบสิ่งที่สูงค่าที่สุดที่มนุษย์ควรได้จากชีวิตนี้!ตอนเด็กเป็นช่วงเรียนรู้ที่จะอยู่บนโลก ตอนวัยรุ่นเป็นช่วงเรียนรู้วิชาการที่จะเอาไว้ใช้เลี้ยงชีพบนโลก ตอนผู้ใหญ่เป็นช่วงทำงานสร้างครอบครัวและเก็บเงินเพื่อไว้ใช้ในโลกยามบั้นปลายชีวิต ขณะที่ตอนที่เริ่มแก่ชราหรือผมหงอกนี่เป็นช่วงเวลาสำหรับเรียนรู้ความจริงเพื่อไว้ใช้เลี้ยงตัวในโลกหน้า!         คนที่ดำเนินชีวิตมาถึงช่วงทำงาน มักทำไปเรื่อยจนจำนวนมากไม่ทันสังเกตว่าได้เดินมาถึงครึ่งทางของชีวิตแล้วยังคงตะลุย ตะบี้ ตะบันทำงานสะสมกันต่อเพราะมักไม่ทันความโลภที่ถมไม่เต็ม หรือไม่ทันความกลัวที่บอกว่ายังสะสมได้ไม่ปลอดภัยพอ ซึ่งหากใช้เกณฑ์วัดด้วยใจที่พอจนเฉลียวใจเพลาการทำงานแบบโลกภายนอกมาทำงานแบบโลกภายในก็คงหามนุษย์ได้น้อยคนนักที่จะเกิดจุดนั้น กว่าจะมารู้ตัวอีกทีว่าติดกับดักโลก เอาแต่ทำเพื่อโลกนี้ยังไม่ได้เตรียมเสบียงไว้โลกหน้าก็มักปาเข้าไปถึงบั้นปลายชีวิตที่ปลายจริงๆ คือแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงหรือสติปัญญาไว้ทำอะไรได้แล้ว         ผมที่เริ่มหงอกนี่ล่ะครับจึงถือเป็นนิมิตอันประเสริฐที่มาเตือนเราในเวลาที่เหมาะสมกับอายุขัยของเราว่าควรเพลาการดิ้นรนแสวงหาทรัพย์ภายนอกมาขวนขวายหาทรัพย์ภายในกันได้แล้วเวลาที่เหลือพร้อมกำลังที่ยังมีบวกประสบการณ์ผ่านสุขทุกข์มาครึ่งชีวิตจะทำให้เรากล้าแกร่งพอที่จะได้ความจริงนี้ไม่ได้เขียนให้ใครเก็บผมหงอกไว้นะครับ หากขึ้นมาใครจะถอนจะย้อมก็ตามอัธยาศัยขอเพียงเข้าใจให้ได้ว่านี่ไม่ใช่ของน่ารังเกียจแต่เป็น “นาฬิกาปลุกแห่งชีวิต”ชั้นดีที่มาบอกเรา ดูกระจกไปถอนผมหงอกไปก็ถอนใจเราออกจากโบกอันชุ่มไปด้วยกิเลสนี่ด้วยนะครับ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *