คนจำนวนมากทุ่มเทชีวิตเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ด้วยหวังว่าเมื่อประสบความสำเร็จถึงเป้าหมายนั้นแล้วชีวิตจะมีแต่ความสุขสมหวัง แต่ในความเป็นจริงกลายเป็นว่าคนจำนวนไม่น้อยเมื่อถึงฝั่งฝันนั้นแล้วชีวิตกลับเจอแต่ความทุกข์ ที่ส่วนหนึ่งเป็นทุกข์จากพิษบาดแผลที่ได้ไปกระทำกับคนอื่นไว้ในระหว่างการเดินทางไปนั้น กับอีกส่วนที่จำนวนมากกว่าคือทุกข์จากการที่ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเดินทางนี้จนทำให้ลืมทำสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตที่กว่าจะรู้ตัวก็สายเกินกว่าการกลับไปชดเชยเวลานั้นได้แล้ว เช่นหลายคนมุ่งหาเงินจนไม่มีเวลาให้ลูกสุกท้ายได้เงินแต่เสียลูก หรือหลายคนอุทิศชีวิตให้งานจนลืมพ่อแม่กว่าจะนึกได้ก็ตอนท่านจากไปแบบไม่มีวันกลับแล้ว แล้วเช่นนี้จะทำอย่างไรไม่ต้องขยันขันแข็งทำงานหรือไร ย่อมไม่ใช่ครับ เพียงแต่ต้องหมั่นคำนึกถึงสิ่งที่อาจลืมนั้นด้วยการเจริญมรณานุสติหรือการหมั่นระลึกถึงความตาย ทำไมการนึกถึงความตายแล้วได้ผลก็ ก็เพราะความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจยามต้องมาขบคิดคำถามที่เกี่ยวกับวาระสุดท้ายของชีวิตนั้นย่อมจะลดละความละโมบโลภมากลงได้เพราะด้วยนึกได้ว่าตักตวงไปก็เอาไปไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทุจริตคอร์รัปชั่นกันเลยด้วยว่าไม่รู้จะเหนื่อยคดโกงให้ต้องหวาดผวาไปทำไมอีก ใจเราย่อมละความโกรธเคียดแค้นลงได้ ก็ไม่รู้จะกลับไปล้างแค้นราวีทำไม เดี๋ยวก็ตาย ๆ จากกันแล้ว เราย่อมจะอยากกลับไปสู่อ้อมอกแม่ ทำคุณทดแทนบุญคุณที่ท่านให้กำเนิดและเลี้ยงดูเรามา หรือเราอยากจะกลับไปอยู่กับลูก กับครอบครัวมีความสุขอันแท้จริงมากกว่าการไปดื่มเหล้าเมายาให้เพลินกับเพื่อนฝูง นี่ล่ะครับข้อดีของการระลึกถึงความตาย เราจะไม่ลืมทำสิ่งสำคัญที่สุดของชีวิต เพราะเพียงนึกใจเราก็เปลี่ยนแล้ว เมื่อใจเปลี่ยนการกระทำเราก็เปลี่ยนด้วย และแน่นอนเปลี่ยนไปในทางดี ในทางเกิดประโยชน์แก่ตนเอง และนั่นหากเรายังไม่ตายจริงผลความดีนี้ย่อมส่งผลดีให้กับเราในอนาคต พระพุทธองค์จึงทรงสรรเสริญการระลึกนึกถึงความตายที่เรียกว่า มรณสตินี้อย่างยิ่ง ถึงขนาดที่พระองค์เคยถามพระภิกษุว่าเจริญมรณสติกันอย่างไร รูปแรกตอบว่า ตนระลึกอยู่เสมอว่าอาจมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงหนึ่งวันและหนึ่งคืนเท่านั้น รูปที่สองตอบว่า ตนระลึกอยู่เสมอว่าอาจมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงหนึ่งวัน รูปที่สามตอบว่า ตนระลึกอยู่เสมอว่าอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียงครึ่งวัน รูปที่สี่ตอบว่า ตนระลึกอยู่เสมอว่าอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียงฉันอาหารหนึ่งมื้อ รูปที่ห้าตอบว่า ตนระลึกอยู่เสมอว่าอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียงฉันอาหารครึ่งมื้อ รูปที่หกตอบว่า ตนระลึกอยู่เสมอว่าอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียงเคี้ยวอาหาร 4 – 5 คำ รูปที่เจ็ดตอบว่าตน ระลึกอยู่เสมอว่าอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียงเคี้ยวอาหารได้หนึ่งคำ รูปสุดท้ายตอบว่า ตนระลึกอยู่เสมอว่าอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียงชั่วหายใจเข้าและหายใจออกนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า 6 รูปแรกยังถือว่าประมาทอยู่ ที่ไม่ประมาทคือ 2 รูปสุดท้าย เพราะมรณสตินั้นเป็นสิ่งที่พึงทำตลอดเวลา แต่ก็แปลกที่เมืองไทยที่มีประชากรบอกว่านับถือพระพุทธศาสนากว่าครึ่งค่อนประเทศ แต่ในจำนวนมากกว่าครึ่งค่อนของครึ่งค่อนนี้กลับรังเกียจที่จะพูดถึงความตายในแบบที่พระศาสดาของตนบอกให้ทำให้มาก เรารังเกียจความตายว่าเป็นอัปมงคล เราไม่ยอมให้ใครในบ้านพูดหรือแม้แต่สื่ออะไรที่เกี่ยวกับความตายเพราะกลัวโชคราง ทั้งจากตัวอย่างข้างต้นคงเห็นแล้วว่าหากจะถือโชคราง การพูดถึงความตายก็จะเป็นโชครางอันดีเพราะทำให้คนพูดหันหน้ามาสู่ความดี ซึ่งหากจะลองสรุปข้อดีของการระลึกถึงความตายนั้นก็อาจสรุปเป็นข้อ ๆ ที่สำคัญ ดังนี้
1. ช่วยให้เร่งรีบที่จะทำความดี ทดแทนบุญคุณบิดา มารดาผู้มีพระคุณ
2. ช่วยให้ครอบครัวอบอุ่นขึ้นด้วยอยากจะทำเวลาทุกขณะให้เปี่ยมด้วยสายใยรัก
3. ช่วยให้ไม่นำพาชีวิตตนไปอยู่บนความเสี่ยงทั้งการทุจริตผิดกฏหมาย หรือร้อนรนจากการละโมบเอาแต่ได้
4. ช่วยป้องกันไม่ให้ไฟแค้นเผาตนจนมอดไหม้ นำภยันตรายมาสู่ตน
5. ช่วยให้เตรียมการณ์รองรับอนาคตให้แก่ลูกหลานและบริวารได้อย่างหมดห่วง
เอาแค่ที่นึกออก 5 ข้อนี้ก็เห็นชัดแล้วว่าควรค่าแก่การนึกถึงทุกบ่อยดั่งที่พระพุทธองค์ทรงแนะไว้แค่ไหน ซึ่งนอกจากการนึกถึงเพื่อให้ตระหนักถึงความจริงของชีวิตแล้ว มรณสตินี้ตามตำราก็ยังจัดเป็น 1 ใน 40 เทคนิกในการทำสมาธิ ซึ่งขอนำรายละเอียดมาฝากสำหรับผู้ที่สนใจ ดังนี้ ให้หาที่เงียบสงบไม่วุ่นวายแล้วนั่งลงกำหนดความตายอย่างเป็นกลาง ๆ คือไม่ไปนึกถึงความตายของคนที่รักที่จะทำให้จิตเศร้า ไม่นึกถึงความตายของคนที่ชังที่ทำให้สะใจ ไม่นึกถึงความตายของตัวเองที่ทำให้กลัว ให้นึกถึงความตายทั่ว ๆ ไปที่สิ่งมีชีวิตต้องเจอ นึกถึงความจริงที่ทุกคนต้องสูญสิ้นร่างกายนี้ไป ต้องพลัดพรากจากทรัพย์สิน สมบัติที่มี ทำเช่นนี้จะสามารถได้สมาธิแนบแน่นระดับที่เรียกว่าอุปจารสมาธิทีเดียว แต่ถ้าไม่ได้ตำราก็ยังมีเทคนิกพิเศษให้ใช้อีก 8 เทคนิกครับท่านใดสนใจก็ลองค้นเอาได้ครับ สุดท้ายขอส่งท้ายด้วยภาษิตทิเบตที่กล่าวไว้ ว่า ไม่มีใครรู้ว่าหลับไปคืนนี้จะตื่นมาพบกับ “พรุ่งนี้” หรือ “ชาติหน้า”