ยาปฏิชีวนะ

ยาปฏิชีวนะถือเป็นยาที่คุ้นเคยกับคนทั่วไปมากที่สุดชนิดหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นยาที่คนทั่วไปใช้กันผิดมากที่สุดชนิดหนึ่งเช่นกัน โดยเฉพาะการใช้โดยไม่จำเป็นจนทำให้เชื้อเกิดวิวัฒนาการในการป้องกันตัวมันเองกลายเป็นการดื้อยาขึ้นมา กลายเป็นวิกฤติอันตรายร้ายแรงชนิดใหม่ของโลกในปัจจุบัน เพราะนอกจากจะป้องกันยากแล้วที่สำคัญคือเมื่อเชื้อดื้อยาแล้ววิธีจัดการก็คือต้องเพิ่มขนาดยาเข้าไปอีก ซึ่งก็ทำให้เชื้อต้านยามากขึ้นอีก จนถึงจุดหนึ่งที่ไม่มียาที่แรงพอให้ใช้รักษาก็เกือบจะหมายถึงการรอความตายเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามแม้การใช้ยาปฏิชีวนะที่คุ้นเคยนี้จะน่ากลัวมากแล้วแต่ยังมีการใช้ยาที่แสนคุ้นอีกชนิดที่น่ากลัวยิ่งกว่า !! ยานั้นชื่อ “โซเชียล” ครับ “โซเชียล” เป็นยาที่คนจำนวนมากนำมารักษาโรค “เหงา” อันเป็นโรคสามัญประจำยุคไอทีที่เป็นสังคมต่างคน ต่างอยู่ การปฏิสัมพันธ์ในชุมชนแทบไม่เหลือสายใยให้สมาชิกได้รู้ว่าตนยังมีตัวตนอยู่ในสังคมนั้น จนเกิดเป็นความเหงา ความต้องการมีตัวตน ความโหยหาความสำคัญในตนขึ้นมาเพื่อล่อเลี้ยงธรรมขาติพื้นฐานแห่งความเป็นสัตว์สังคมของมนุษย์ และนั่นเองคือที่มาของการใช้ยาโซเชียลแบบผิด ๆ ที่เกินจำเป็นขึ้น ด้วยเพราะฤทธิ์ยาที่สามารถสร้างเพื่อนหรือผู้ติดตามจำนวนมากมาคลายเหงาให้ได้ในฉับพลันเพียงแค่มีสัญญาณ WIFI เข้าถึงเท่านั้น นั่นทำให้เกิดผลข้างเคียงไม่ต่างจากการใช้ยาปฏิชีวนะที่มากเกิน ก็คือทำให้เกิดการดื้อยาขึ้น เชื้อพัฒนาให้ต้านยามากขึ้นจนต้องใช้ยา (โซเชียล) หนักขึ้นจนถึงที่สุดอาจไร้ยาที่แรงพอจะมารักษาได้เช่นกัน แต่ที่โซเชียลนี้น่ากลัวกว่าเพราะยาโวเชียลนี้ทำงานรุนแรงและส่งผลกระทบกว้างกว่ายาปฏิชีวนะมาก การใช้แต่ละครั้งเปรียบเหมือนดั่งการหย่อนระเบิดลงไปกลางวงที่นอกจากจะทำลายเชื้อโรคเหงาแล้วยังมีผลข้างเคียงไปทำลายเชื้อตัวอื่น ๆ อีกด้วย โดยเฉพาะการทำลายเชื้อแห่งความอดทน ที่โซเชียลเอื้อให้ ผู้ใช้อดทนน้อยลง รอไม่เป็น ทำลายเชื้อแห่งความซื่อตรง ที่โซเชียลเอื้อให้ผู้ใช้เริ่มหลอกลวง สร้างตัวตนฐานะปลอมขึ้นมา หรือทำลายเชื้อแห่งความเข้มแข็งทางจิตใจ ที่โซเชียลเอื้อให้ผู้ใช้อ่อนแอต่อความอดกลั้นในสิ่งยั่วยุ ซึ่งผลข้างเคียงนี้เองที่ส่งผลร้ายมหาศาลต่อชีวิตทั้งหมดของผู้ใช้ เพราะทำให้ผู้ใช้กลายเป็นคนที่เสี่ยงต่อการทำสิ่งไม่ดีงาม เสี่ยงต่อการสร้างบาปกรรมที่จะส่งผลกรรมร้ายต่อตนเองในอนาคต “แล้วถ้าไม่ใช้ยาโซเชียลจะให้ใช้ยาอะไร?” คำตอบก็ต้องอิงการรักษาแบบแพทย์แผนไทยครับ ที่เราจะรักษาด้วยการแก้ไปที่รากแห่งโรค แก้กันตรงไปตรงมา ในเมื่อโรคร้ายคือความเหงา ยาแก้ก็คือต้องหาเพื่อนจริง ๆ ครับ ซึ่งวิธีการจะให้ได้เพื่อนนั้นไม่ยากเลยแค่เพียงเรามอบความเป็นเพื่อนให้ผู้อื่นก่อน เราย่อมได้ความเป็นเพื่อนคืนมา จะมีข้อแม้นิดเดียวคือเราให้ความเป็นเพื่อนแบบใด เราก็จะได้เพื่อนแบบนั้น เช่น เราให้ความเป็นเพื่อนเที่ยวแก่ผู้รู้จัก เราย่อมได้คนที่คอยชวนกันเที่ยว ชวนกันเสียคนมาเป็นเพื่อน เราให้ความเป็นเพื่อนปลอกลอก เราก็จะได้คนที่คอยลอกลวงเอาเปรียบเรามาเป็นเพื่อน ดังนั้นหากเราอยากได้เพื่อนดี เราก็ต้องมอบความดีให้แก่ผู้รู้จัก และก็ไม่ต้องลำบากมานิยามกันเลยว่าจะต้องทำอะไรบ้าง เพราะพระพุทธเจ้าท่านทรงสอนไว้แล้วในหัวข้อ กัลยาณมิตร อันประกอบด้วยคุณสมบัติ 7 ประการ ได้แก่ ปิโย น่ารัก เป็นเพื่อนที่ทำให้เพื่อนสบายใจมีความสนิทสนม สามารถให้คำปรึกษา ได้ ครุ น่าเคารพ ทำตัวสมควรแก่ฐานะ สร้างความรู้สึกอบอุ่นใจ สามารถเป็นที่พึ่งที่ปลอดภัยได้ ภาวนีโย น่ายกย่อง มีปัญญา ความรู้หมั่นพัฒนาตนอยู่เสมอ เป็นแบบอย่างให้เพื่อนภาคภูมิใจ วตฺตา จ ให้คำปรึกษาได้ พูดให้เข้าใจ พูดให้เกิดผลที่ต้องการได้ รู้จักกาลเทศในการพูด วจนกฺขโม มีความอดทน พร้อมรับฟังข้อเสนอแนะไม่เบื่อ ไม่รำคาญ คมฺภีรญฺจ กถํ กตฺตา แจกแจงเรื่องยากได้ สามารถอธิบายเรื่องซับซ้อน ให้เข้าใจได้ โน จฏฐาเน นิโยชเย ไม่พาไปในทางที่เหลวไหล หรือเสื่อมเสีย ทำ 7 ข้อนี้เราจะเป็นกัลยาณมิตรให้ผู้อื่น และเราจะได้เพื่อนดีแท้ ๆ กลับมา ไม่ต้องไปหาเพื่อนเสมือนกันในโลกไซเบอร์ที่จะส่งผลข้างเคียงได้ Happy + ฉบับแห่งการดูแลตนเองฉบับนี้ก็ขอนำวิธีดูแลความเหงาในจิตใจตัวเองนี้มาฝากนะครับ “ใช้ยาปฏิชีวนะเท่าที่ทำเป็นกายจะดี ใช้โซเชียลแต่พอเหมาะจิตก็จะแกร่งครับ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *