Category : Post Today

หนี้ครัวเรือน

by : Admin      2015-01-03      Post Today      0 comments

คอลัมน์ ชีวิตรื่นรมย์ นสพ.โพสต์ ทูเดย์

วันอาทิตย์ที่    ธันวาคม 2557

        มีนักวิชาการใช้คำเท่ห์อธิบายสภาพสังคมทุกวันนี้ไว้ว่า “สังคมไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่ความเป็นหนี้มากขึ้น”         ฟังผ่าน ๆ ก็ไม่แปลก คิดเผิน ๆ ก็ไม่มีอะไรใหม่ เป็นเรื่องที่รู้ ๆ กันอยู่ว่าสภาพสังคมทุกวันนี้คนถูกภาวะเศรษฐกิจบีบรัดเสียจนต้องไปกู้หนี้ยืมสินเขามาประทังชีวิต         ชาวนาก็ต้องกู้มาซื้อพันธุ์พืช ซื้อปุ๋ย ซื้อยาฆ่าแมลง ไม่กู้ก็ไม่มีเงินมาเพาะปลูก ก็ไม่มีโอกาสที่จะเก็บเกี่ยวพืชผลมาขายพอให้มีกำไร แม้ในความเป็นจริงเกือบทั้งหมดของชาวนาที่กู้ แม้จะมีผลผลิตออกมาขายได้ ก็มักได้เงินมาแค่พอใช้หนี้ ใช้ดอก จะหวังเก็บหอมรอมริบนั้นยาก นาหน้าก็ต้องกู้อีกซึ่งหากปีใดเคราะห์ร้ายนาล่มก็หมดทางปลดหนี้ ต้องกู้หนี้ใหม่มาเพื่อใช้หนี้เก่าเป็นวงจรอุบาทว์ดั่งที่ทราบกัน ใครที่อยากเห็นประเทศเราเป็นประเทศเกษตรอินทรีย์ที่อุดมไปด้วยพืชผักปลอดสารพิษ ไร้ซึ่งสารเคมี เป็นสินค้าออแกนิกทั้งหมดนั้น หากจะหวังก็จำต้องแก้ปัญหาหนี้ชาวนานี้ให้ได้ก่อน เพราะเงื่อนไขหลักของเกษตรอินทรีย์คือต้องใช้เวลาให้ดิน ให้พืชได้ปรับตัว แต่ชาวนาไม่มีเวลานั้นเพราะมีดอกเบี้ยคอยไล่จี้หลังมาอยู่ ชาวนาจึงจำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลงเพื่อให้ได้ผลผลิตเต็มเม็ด เต็มหน่วย จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมีเพื่อให้ได้ปริมาณและขนาดที่มากและใหญ่เพื่อจะหวังลุ้นขายให้ได้ราคาพอใช้หนี้ และแน่นอนทั้งยาฆ่าแมลงและปุ๋ยเคมีชาวนาต้องไปเป็นหนี้กู้มาซื้อ นั่นเป็นหนี้ของเกษตรกรที่เป็นคำส่วนใหญ่ของประเทศ         แต่แม้จะจากนาเข้าเมืองมาแล้วก็ยังไม่ต่างกัน ชาวเมืองก็ยังมีสภาพเป็นนักกู้เช่นกัน ต้องกู้มาเป็นค่าเล่าเรียนลูก ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ เงินเดือนออกก็พอเบาได้พัก เดี๋ยวก็ต้องไปกู้มาต่อลมหายใจอีกเป็นเช่นนี้ทุกเดือน และหากเดือนใดเคราะห์ร้ายเจ็บไข้ได้ป่วย หรือเกิดอุบัติเหตุจำต้องใช้เงินก้อนก็เป็นอันต้องกู้หนี้ใหม่มาใช้หนี้เก่าไม่ต่างจากชาวนา เข้าสู่วงจรอุบาทว์แบบเดียวกันอีก         นี่ว่ากันที่ชาวนา และชาวเมืองที่ถูกภาระการหาเลี้ยงชีพบีบให้จ้องมีสภาพเป็นลูกหนี้ แต่ที่มากกว่านั้นคือชาวนา และชาวเมืองที่พอจะลืมตาอ้าปากได้ก็ยังไม่วายอินเทรนด์สมัครใจเป็นลูกหนี้กับเขาด้วย         สมาชิกในสังคมเราเป็นหนี้โดยไม่จำเป็นเช่นนี้เยอะมาก ๆ เยอะขนาดที่ไม่น่าเชื่อว่าเราจะสร้างหนี้กันได้เช่นนี้ ลองไล่จากหนี้หลัก ๆ ที่มองเผิน ๆ บางมุมก็เหมือนจะเป็นหนี้ที่จำเป็นอยู่ อย่างหนี้ผ่อนบ้านเพื่อไว้พักอาศัยที่หลายคนเห็นว่าคุ้มกว่าการไปจ่ายค่าเช่า หนี้ผ่อนรถเพื่อไว้เดินทางไปทำงาน ไปส่งลูกที่โรงเรียนที่หลายคนเห็นว่าคุ้มแก่การเป็นหนี้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หนี้ผ่อนคอมพิวเตอร์เพื่อไว้ใช้ทำงาน ทำการบ้านที่หลายคนเห็นว่าเป็นการเพิ่มรายได้ หนี้ผ่อนโทรศัพท์ไว้โทร ไว้แชต ไว้ใช้เล่นเกมหลายคนเห็นว่าเป็นสิ่งจำเป็นขาดไม่ได้ในชีวิต หนี้ผ่อนทีวี ผ่อนเครื่องเสียงเพื่อไว้ตามข่าว รับชมความบันเทิงราคาถูกหลังเลิกงาน หรือแม้กระทั่งหนี้ผ่อนการเป็นสมาชิกการท่องเที่ยวสันทนาการ         เป็นอย่างไรครับ น่าตกใจไหมที่เมื่อมองรอบตัวเราล้วนเต็มไปด้วยเรื่องสร้างหนี้กันทั้งนั้น         “ก็ยังไม่เห็นแปลก มันก็เป็นเช่นนั้นแหละ” บางท่านอาจรู้สึกเช่นนั้น         ซึ่งนี่ล่ะครับความน่ากลัวของการเป็นลูกหนี้ในยุคมิเลนเนียมนี้ น่ากลัวกับความคิด ความเชื่อที่เห็นการเป็นหนี้เป็นเรื่องธรรมดาในสังคมกันไปแล้ว บริษัทสินเชื่อส่วนบุคคลออกแคมเปญจ์ โฆษณากันอย่างเอิกเกริกเพื่อชักชวนให้คนเป็นหนี้ แข่งกันจนหลัง ๆ ออกจะเป็นการยกย่องชื่นชมด้วยซ้ำที่คนยอมเป็นหนี้         ขนาดนี้แล้วยังจะไม่แปลกหรือครับ !         ใครที่พอจะมีอายุหน่อยสักเลข 3 เลข 4 น่าจะยังพอจำได้ว่าในอดีตนั้นการจะเป็นหนี้สักทีนี่เราต้องคิดกันแล้วคิดกันอีก ว่ามีทางอื่นไหมที่ไม่ต้องตกเป็นลูกหนี้ มีทรัพย์สินอะไรพอผ่องถ่ายขายแลกเป็นเงินมาหมุนแทนไหม เอาทอง เอาเครื่องเสียงไปจำนำหมุนเงินได้ไหม หรือหากจำเป็นต้องเป็นหนี้จริง ๆ ก็ต้องกระมิดกระเมี้ยนกู้ให้น้อยที่สุด และพยายามรีบใช้คืนให้เร็วที่สุด ระหว่างเป็นหนี้นี่ก็แทบจะแอบหลบมุมไม่อยากออกสังคมให้คนตราหน้าว่าเป็นหนี้         แต่ปัจจุบันเป็นเช่นไรครับ         เขายกยอเราให้เป็นหนี้เสียเต็มที เรียกท่าน เรียกคุณเชิดชูเชิญชวนให้มากู้ แถมยังอยากให้กู้นาน ๆ อย่าเพิ่งรีบใช้คืน บางแห่งขนาดมีสัญญาเลยว่าหากใช้คืนก่อนกำหนดจะโดนค่าปรับ         ผมเคยมีประสบการณ์ในบริษัทจัดไฟแนนซ์อยู่ประเภท แม้จะเป็นช่วงสั้น ๆ แต่ก็ได้เห็นถึงการอยากให้ลูกค้าเป็นหนี้เสียเหลือเกิน ถึงขนาดแต่ละบริษัทต้องส่งทีมไปนั่งดักในร้านค้าเป้าหมาย และรีบกันขอตัดลูกค้าที่ยอมจะเป็นหนี้นั้นมาให้กู้กับบริษัทตน มีการจ่ายค่าส่งลูกค้าให้เจ้าของร้านตามจำนวนสัญญาที่เจ้าของร้านส่งลูกค้า (มาเป็นหนี้) ให้ มากขนาดร้านค้ายอมขายของขาดทุนกันนั่นเลย คือขาดทุนค่าสินค้าที่รับมาแต่มาเอากำไรจากเงินหัวคิวที่บริษัทไฟแนนซ์ตอบแทนให้ เจ้าของบางรายนี่ไม่อยากที่จะรับลูกค้าเงินสดเลยเพราะจะได้กำไรเฉพาะส่วนต่างของค่าสินค้า สู่ขายเงินผ่อนแล้วมารับโบนัสจากสัญญากู้ที่ส่งให้บริษัทได้เยอะกว่า กลายเป็นกลับหัว กลับหาง กลับทางจากเดิมที่ใครค้าขายก็อยากขายเงินสด ใครมีเงินก็ไม่อยากปล่อยให้คนกู้แต่สมัยนี้ตรงกันข้าม         เริ่มแปลกกันหรือยังครับ         แต่ที่แปลกที่สุดคือค่านิยมที่เปลี่ยนไปของคนในสังคมเอง ที่โดยพื้นฐานก็รู้ทั้งรู้ว่าความไม่เป็นหนี้นั้นไม่ดีแต่เดี๋ยวนี้เรากลับถูกมอมเมาให้ยอม ให้สบายใจ หรือแม้แต่ให้อยากที่จะเป็นหนี้ แล้วยังหลงค่านิยมว่าการเป็นหนี้เป็นเรื่องปกติ ตรงนี้แหละครับที่อยากฝากเฉลียวกันไว้ว่าอย่าได้ตกเป็นเหยื่อกันเลย         แม้จะต้องเป็นจริง ๆ อย่างน้อยก็ขอให้รู้สึกแบบดั้งเดิมคือเป็นเรื่องไม่น่าอภิรมย์ต้องรีบชำระสะสางเสีย อย่าไปหลงกลเขาเป็นลูกหนี้ชั้นดีที่ต้องแลกกับอนาคตครอบครัวเราตลอดไปเลย         แม้ในทางศาสนาเองยังมีพระสูตรที่เวลาพระพุทธเจ้าตรัสสอนถึงความสุข พระองค์ยังเปรียบเปรยความสุขว่าเหมือนการพ้นจากความเป็นหนี้ แสดงถึงความเป็นหนี้นั้นเป็นทุกข์จริง ๆ สมดั่งคำโบราณที่กล่าวว่า “ความไม่เป็นหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ” ครับ


แสดงความคิดเห็น